Last updated: 12 ส.ค. 2568 |
ยุคนี้การสั่งของหรือส่งของไปต่างประเทศทำได้ง่ายแค่ปลายนิ้วคลิก เพราะมีช่องทางให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Amazon, AliExpress หรือ Alibaba แต่ก่อนจะเริ่มสั่งของ สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ “สั่งของจากต่างประเทศ เสียภาษียังไง?” สินค้าที่เราสั่งเข้ามาต้องเสียภาษีหรือไม่? เสียเท่าไหร่? แล้วมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้จ่ายภาษีได้น้อยลง?
บทความนี้จะพาคุณไป เคลียร์ทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษีนำเข้า พร้อมแนะนำเคล็ดลับลดต้นทุน และวางแผน ส่งของไปต่างประเทศ ได้อย่างมั่นใจ
เมื่อคุณซื้อของจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าประเภทใดก็ตาม คุณมีหน้าที่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งประกอบด้วย อากรขาเข้า (Import Duty) และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax - VAT) การเก็บภาษีเหล่านี้เป็นไปตามกฎหมายของกรมศุลกากร
การคิดภาษีจะขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า มูลค่าสินค้า และกฎระเบียบศุลกากร ซึ่งมักจะระบุอยู่ใน Incoterm ที่ใช้ในการขนส่งระหว่างประเทศ หากคุณไม่เข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้ อาจทำให้เกิดความสับสนเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้
เมื่อคุณนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ คุณจะต้องเจอภาษีหลักๆ สองประเภท ได้แก่ อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
มูลค่าสินค้า เป็นปัจจัยหลักที่ใช้พิจารณาว่าคุณต้องเสียภาษีนำเข้าหรือไม่ โดยกรมศุลกากรไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ดังนี้:
การสั่งของต่างประเทศอาจมีค่าใช้จ่ายเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็มีหลากหลายวิธีและเคล็ดลับที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้
การใช้บริการจากตัวแทนขนส่งที่มีประสบการณ์ จะช่วยคุณจัดการเอกสารที่จำเป็น และให้คำแนะนำในการกรอกข้อมูลต่างๆ เพื่อให้สินค้าผ่านด่านศุลกากรได้อย่างราบรื่น
บางครั้งตัวแทนเหล่านี้ยังสามารถแนะนำรหัส HS code ที่ถูกต้อง หรือเงื่อนไขตาม Incoterm ซึ่งมีผลต่อภาษีนำเข้าได้ด้วย
อย่าส่งสินค้าหลายประเภทในกล่องเดียวกันโดยไม่แยกให้ชัด เพราะหากศุลกากรไม่สามารถระบุหมวดสินค้าได้อย่างถูกต้อง อาจถูกประเมินภาษีรวมในอัตราสูงขึ้น
แนะนำให้ แยกประเภทสินค้า เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องสำอาง อย่างชัดเจนในใบ Invoice
หากคุณสั่งของจากต่างประเทศให้ผู้อื่น หรือมีการจัดส่งของชิ้นเล็กจากต่างประเทศ การแจ้งว่าเป็น “ของขวัญ” อาจช่วยให้เจ้าหน้าที่พิจารณายกเว้นภาษีในบางกรณี โดยเฉพาะถ้ามูลค่าสินค้าอยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 1,500 บาท
กรณีที่คุณไม่ได้ซื้อเพื่อขาย หรือสินค้านั้นเป็นตัวอย่าง (Sample) ควรระบุในเอกสารว่า “No Commercial Value” หรือ “ไม่ใช่เชิงพาณิชย์” เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่าเป็นการนำเข้าสินค้าเพื่อจำหน่าย ซึ่งจะถูกคิดภาษีในอัตราที่สูงกว่า
สินค้าที่คุณสั่งซื้อของจากต่างประเทศ ไม่ได้เสียภาษีในอัตราเดียวกันทุกประเภท
เพราะ อัตราภาษีนำเข้า (Import Duty) จะขึ้นอยู่กับหมวดหมู่ของสินค้า และรหัสพิกัดศุลกากร (HS code) ที่กรมศุลกากรกำหนดไว้
หมายเหตุ:
อัตราภาษีที่แท้จริงขึ้นอยู่กับรหัสHS code ที่ระบุในใบ Invoice เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะเป็นผู้ประเมินตามข้อมูลสินค้า และอาจมีการสุ่มตรวจเพื่อความถูกต้อง
หากสั่งของจากต่างประเทศ การคำนวณว่าจะเสียภาษีเท่าไหร่? ไม่ใช่แค่ “ดูจากราคาสินค้า” อย่างเดียว แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าขนส่ง และอัตราภาษีนำเข้าที่แตกต่างกันตามประเภทของสินค้า ซึ่งอ้างอิงจาก HS code
ภาษีนำเข้า = (ราคาสินค้า + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย) × อัตราภาษีนำเข้า (%)
VAT = (ราคาสินค้า + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย + ภาษีนำเข้า) × 7%
ตัวอย่างการคำนวณภาษี
คุณสั่ง “กระเป๋าแฟชั่น” จากต่างประเทศ
ขั้นตอนที่ 1: คำนวณภาษีนำเข้า
ภาษีนำเข้า = (ราคาสินค้า + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย) × อัตราภาษีนำเข้า (%)
= (3,000 + 500 + 0) × 20%
= 3,500 × 0.20
= 700 บาท
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณ VAT 7%
VAT = (ราคาสินค้า + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย + ภาษีนำเข้า) × 7%
= (3,500 + 700) × 7%
= 4,200 × 0.07
= 294 บาท
รวมภาษีทั้งหมดที่ต้องจ่าย = 700 + 294 = 994 บาท
หมายเหตุ:
ค่าขนส่งต้องระบุให้ชัด โดยอาจพิจารณาจาก ขนาดกล่องพัสดุ และน้ำหนัก
อัตราภาษีนำเข้าขึ้นอยู่กับรหัสสินค้า ดูจาก HS code ถ้าไม่มีประกันภัย ให้ถือว่าเป็น “0”
การสั่งของจากต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อควรรู้คือ ภาษีนำเข้าไม่ได้คิดจากแค่ราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงค่าขนส่ง ค่าประกัน และอัตราภาษีที่แตกต่างกันตามประเภทของสินค้า โดยอิงจากรหัส HS code และเงื่อนไขทางการค้า เช่น FOB หรือ CIF ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผู้ที่ต้องรับผิดชอบภาษีปลายทาง
สินค้ามูลค่าน้อยกว่า 1,500 บาทมักได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากเกินกว่านั้น ผู้ซื้อควรรู้วิธีคำนวณภาษีอย่างถูกต้อง และควรแยกหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการประเมินภาษีที่ไม่จำเป็น
เพื่อความมั่นใจและลดความเสี่ยงเรื่องภาษีนำเข้า แนะนำให้ใช้บริการของ Aye Cargo ที่พร้อมดูแลคุณครบวงจร ทั้งให้คำแนะนำเรื่องภาษี ตรวจสอบเอกสาร แพ็คของ และมีบริการ Drop off ที่ช่วยให้ส่งของได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนในประเทศไทย
12 ส.ค. 2568
10 ก.พ. 2568
11 ก.พ. 2568